Labels

9.25.2019

สวรรค์ (หรือพ่อแม่) สาปให้หนูเป็นอัจฉริยะ? (ตอน 8-จบ)


แต่ถ้าพ่อแม่ยังอยากให้ลูกเป็นอัจฉริยะอยู่จะต้องทำอย่างไร
ก็ทำได้ แต่วิธีทำก็ต้องให้ “สมดุล” ระหว่าง
1.การพัฒนาองค์ประกอบของอัจฉริยภาพ กับ 2.การเติบโตของเด็ก ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ต่างไปจากการพัฒนาเด็กที่รักและคลั่งไคล้สิ่งนั้นให้มีความสามารถ
 อาทิเช่น ยุคนี้พ่อแม่เชื่อว่าการเรียนดนตรี เช่น เปียโน  จะสร้างเสริมให้ลูกหลานฉลาดขึ้นกว่าเดิม ลำดับต่อมาก็เชื่อว่าลูกมี gifted ทางดนตรี เพราะรักทั้งดนตรี หรือมีหูที่ดีเยี่ยม สามารถฟังเสียงและบอกว่าเป็นตัวโน้ตอะไร ฟังเพลงมาแล้วจำทำนองได้ก็มาไล่เสียงบนคีย์เปียโน แม่สรุปว่า  ลูกแกะเพลงได้ สมกับเป็นจีเนียส ฯลฯ  
แต่เหล่านี้รับรองได้ว่า ไม่เพียงพอที่จะทำให้ลูกเติบโตเป็นผู้มีอัจฉริยภาพทางดนตรี  เพราะว่า องค์ประกอบไม่ครบ  …!!
มาดู Amadeus Mozart คนที่ไม่มีใครปฏิเสธว่าเป็นอัจฉริยะ  แต่ลองนึกภาพของเด็กคนหนึ่งที่อาจจะมีแนวโน้มชอบดนตรี เพราะพ่อก็เป็นนักดนตรี เป็นครูสอนเปียโน และแต่งตำราสอนไวโอลิน  เด็กชาย Mozart ก็ต้องได้ยินเสียงดนตรีมาตั้งแต่เกิด พอพ่อจับให้เริ่มเล่นเปียโนเมื่อตอน 3 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังพัฒนากล้ามเนื้อ ประสาทสัมผัส การได้ยินเสียง สายตาที่ต้องอ่านโน้ตและเข้าใจ เมื่อเล่นได้ พ่อก็ปลื้มชื่นชม เป็นแรงเสริมที่ทำให้เขายอมที่จะถูกพ่อฝึกความอดทนเพื่อซ้อมอย่างหนัก
มีคนคำนวณไว้ว่า ถ้าเล่นเปียโนตั้งแต่ 3 ขวบ วันละ 3 ชั่วโมงจนถึงอายุ 6 ขวบ  เด็กชาย Mozart ได้เล่นเปียโนมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3,500 ชั่วโมง  ถ้ายอมให้ถูกฝึกฝนเคี่ยวกรำมาขนาดนี้ จะต้องแปลกใจทำไมหากเขาจะเก่งเรื่องเปียโนเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน  เพราะทักษะสำคัญสำหรับการเรียนดนตรีในช่วงแรกคือ การทำซ้ำ ทำตามให้เหมือน การอ่านโน้ตและการเล่นที่แม่นยำจนมั่นใจ แล้วระหว่างนี้ ถ้าเข้าใจดนตรี เข้าใจบทเพลง ก็เริ่มเกิดความรู้สึก เกิดอารมณ์ ใส่ความคิด ใส่สไตล์ของตัวเองเข้าไปในการเล่น   กล่าวกันว่า Mozart แต่งเพลงแรกเมื่อตอน 4 ขวบ  แต่นี้ก็อาจจะเล่ากันเพื่อความอลังการ เพราะเพลงนี้ก็ไม่ใช่เพลงใหม่ที่สุดยอดอะไร  เป็นการเอาเพลงเก่ามาเรียบเรียงใหม่ แต่มันคือบันไดขั้นแรกที่พัฒนาขึ้นจากการมีทักษะพื้นฐานทางดนตรี เพื่อวันข้างหน้าจะ “สร้างสรรค์” เพลงของตัวเองได้
พ่อแม่แอบชำเลืองดูลูกอัจฉริยะของตัวเองหน่อยมั้ย เปียโนก็ลงทุนไปแล้วเป็นแสน จ้างครูที่ว่าเจ๋งมาสอน  แต่ลูกเรามีความก้าวหน้ากับการอ่านโน้ต กับการฝึกเล่นทักษะที่ยากขึ้นๆ  ชอบฟังเพลง ฟังแล้ววิเคราะห์ได้ เล่นแล้วได้อารมณ์ใหม่ๆ หรือเอามาพัฒนาเป็นเพลงของตัวเอง เหล่านี้คือทักษะทางดนตรีที่ต่อยอดจากอัจฉริยภาพ และทำได้ด้วยการลงมือปฏิบัติและเรียนรู้เท่านั้น  โดยไม่ฝันว่าพรสวรรค์จะโตตามตัวลูกโดยที่ลูกไม่ต้องเรียนรู้ ฝึกฝนและพัฒนาต่อเนื่อง   
Image result for mozart family
ภาพครอบครัว Mozart  คุณพ่อ Leopold, Wolfgang และ พี่สาว Nannerl ที่มีฝีมือทางดนตรีไม่แพ้ Mozart แต่เพราะเป็นผู้หญิง พ่อก็เลยไม่ค่อยส่งเสริมให้เป็นนักแสดงดนตรี  
ถ้าคุณพ่อ Leopold Mozart เชื่อว่าลูก Wolfgangเป็นอัจฉริยะ แล้วรอให้พระเจ้าลงมาประทานความสามารถให้ทุกวัน โดยไม่ฝึกฝนลูกตัวเอง และวางกระบวนการเพื่อให้ Mozart ฝึกทักษะพื้นฐานที่นักดนตรีทุกคนต้องทำได้  Mozart จะได้เป็นอัจฉริยะนักดนตรีหรือไม่  (คิดดู วันละ 3 ชั่วโมง สำหรับเด็ก 3 ขวบ OMG!!! จนเด็กน้อยแทบไม่ได้เล่นกับเพื่อนแถวบ้าน ไม่ได้ใช้ชีวิตเป็นเด็ก  ได้เรียนรู้โลกจริง ๆ และไม่ได้ฝึกการจัดการชีวิต)
วิธีการเพิ่มศักยภาพของเด็กแต่ละคนพัฒนาไปถึงขั้นสูงสุดของ Leopold Mozart อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีกับชีวิตของลูกนัก เพราะลูกก็ขมขื่นแต่ก็ต้องพึ่งพาพ่อเพราะยืนด้วยตัวเองไม่ได้  หรือ Sofiah ที่ถูกพ่อเคี่ยวกรำจนเข้า Oxford ได้เมื่ออายุ 13 (พ่อก็ใช้วิธีเดียวกันกับลูกทุกคนจน “ประสบความสำเร็จ”) แต่ก็ขมขื่นกับวิธีการบังคับจนไร้อิสรภาพ  เมื่อได้อิสรภาพ เธอจึงเลือกจะไม่กลับไปหาพ่อ เลือกไปเป็นโสเภณี เป็นนักสังคมสงเคราะห์ และภายหลังก็ได้เลือกที่จะกลับไปเรียนหนังสืออีกครั้ง 
อัจฉริยภาพ หรือ พรสวรรค์ อาจจะเป็นพลังสำคัญสำหรับการ “jump start” เผาหัว ติดเครื่อง  แต่ถ้าเครื่องยนต์ไม่แน่น ไม่อึด  น้ำมันไม่พอ หรือหาปั๊มเติมน้ำมันไม่ได้ อัจฉริยภาพก็ไปต่อถึงจุดหมายปลายทางยาก  แต่คนที่รักจริงจัง ฝึกฝนเรียนรู้อย่างฉลาด ไม่หยุดหย่อน หาแรงบันดาลใจ ได้ความคิดสร้างสรรค์ อาจจะขาดเสน่ห์หรือความ “ว๊าว” ของอัจฉริยะไปบ้าง  แต่ก็พบว่า คนจำนวนมหาศาลสามารถจะยืนหยัดกับชีวิตได้อย่างมีความสุขและสำเร็จ
ขอข้อสรุปสำหรับพ่อแม่ เมื่อคิดว่าลูกเรามีแววอัจฉริยะ?
สรุปแบบตรงไปตรงมาก็คือ  พ่อแม่อย่าไปตกหลุมพรางของคำว่า เด็กจีเนียส เด็กอัจฉริยะ  จะดีที่สุดหากสามารถเลี้ยงลูกให้ใช้ความสามารถพิเศษพร้อมๆ กับการมีชีวิตจริงอย่างสมดุล  เรียนรู้ความพ่ายแพ้ผิดหวัง ฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ ฝึกให้ตัวเองมีความแข็งแกร่ง เรียนรู้ที่จะสนุกกับชีวิต มุ่งมั่นกับสิ่งที่เขารักอย่างแท้จริง  มีพลังที่จะผลักดันความสามารถพิเศษของตัวเองออกมาเป็นงานสร้างสรรค์ ฝึกวินัยในตนเองและฝึกฝืนบ้าง
ที่สำคัญแต่อาจจะเจ็บปวดก็คือ การมองลูกอย่างเปิดใจ  เด็กรักดนตรี แต่ไม่ชอบซ้อม ไม่รักการซ้อม ไม่อดทนที่จะเรียนรู้พื้นฐานดนตรี  เด็กรักศิลปะแต่ไม่ขีดเขียน ไม่คว้าดินมาปั้น ไม่รู้จักอารมณ์ของตัวเอง  ไม่เรียบเรียงเรื่องราว  เด็กภาษาดี แต่ไม่อ่าน ไม่พูด ไม่เรียบเรียงความคิด ไม่วิเคราะห์ แล้วจะเป็นจีเนียสที่ฉายแววอย่างไร? หรือการไม่ชอบทำสิ่งที่เป็นพรสวรรค์นี้เป็นการส่งสัญญาณสื่อสารกับพ่อแม่ว่า หนูพยายามเป็นทุกอย่างที่พ่อแม่อยากให้เป็นแล้ว แต่หนูไม่ใช่!!!!
เราส่งเสริมให้พ่อแม่มีความเชื่อมั่นในลูกทุกคน  แต่ต้องอย่ายอมให้จินตนาการและความปรารถนาที่จะเห็นลูกเป็นเด็กอัจฉริยะกลายมาเป็นคำสาปจากสวรรค์ ที่ทำให้ชีวิตทั้งของลูกและของพ่อแม่ตกหลุมพราง
Happily, We Thrive!!!

แหล่งข้อมูล


No comments:

Post a Comment